วันพุธที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2554

กลุ่มดาวจักรราศรี


กลุ่มดาววัว
( TAURUS )
ราศี พฤษภ


   กลุ่มดาววัว เป็นกลุ่มดาวที่สังเกตเห็นได้ง่าย มีดาวฤกษ์เรียงกันเป็นรูปตัววีอย่างน้อย 9 ดวง เป็นกลุ่มดาวทางฟ้าซีกเหนือ โดยจะปรากฏขึ้นทางทิศตะวันออกเฉียงไปทางทิศเหนือ คนไทยโบราณเรียกกลุ่มดาววัวนี้ว่า ดาวไม้ค้ำเกวียน หรือ ดาวธง ดวงอาทิตย์จะเคลื่อนที่ผ่านกลุ่มดาววัวระหว่างวันที่ 14 พฤษภาคม ถึง 21 มิถุนายน ในกลุ่มดาววัวจะมีดาวฤกษ์สีส้มแดงสว่างที่สุดอยู่หนึ่งดวงเป็นตาขวาของวัว ชื่อว่า ดาวอัลดิบะแรน ( ALDEBARAN ) หรือ ดาวโรหิณี ( ความสว่าง 0.85 ) มีความหมายว่า ผู้ติดตาม เพราะดาวดวงนี้อยู่ตามหลังกลุ่มดาวลูกไก่ ห่างไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือประมาณ 15 องศา จะเป็นกระจุกดาวเปิด ที่มีชื่อว่า กระจุกดาวลูกไก่ ( PLEIADES ) หรือ ดาวเจ็ดสาวพี่น้องตามนิทานของกรีก ซึ่งประกอบด้วยดาวฤกษ์นับร้อยดวง แต่สามารถเห็นชัดได้ด้วยตาเปล่าเป็นดาวสว่างมาก 6 ดวงและสว่างน้อย 1 ดวง ซึ่งดาวที่สว่างที่สุดในกระจุกดาวนี้เป็นดาวฤกษ์สว่างสีขาว ชื่อว่า ดาวอัลซีโยน ( ALCYONE )
 
กลุ่มดาวคนคู่
( GEMINI )
ราศีเมถุน

     กลุ่มดาวคนคู่ เป็นกลุ่มดาวที่อยู่ถัดจากกลุ่มดาววัวไปทางทิศตะวันออก ประกอบด้วยดาวฤกษ์อย่างน้อย 8 ดวงเรียงกันเป็นรูปคนคู่ หรือ ฝาแฝด มีชื่อว่า คาสเตอร์ ( CASTER ) เป็นดาวฤกษ์แฝดหกซึ่งเป็นดาวดวงที่ 5 ในกลุ่มดาวคนคู่ และ พอลลักซ์ ( POLLUX ) ซึ่งเป็นดาวดวงที่ 4 ในกลุ่มดาวคนคู่ ดวงอาทิตย์จะผ่านเข้าสู่กลุ่มดาวคนคู่ระหว่างวันที่ 21 มิถุนายน ถึง 21 กรกฎาคม เป็นกลุ่มดาวที่เห็นชัดตลอดคืนในฤดูหนาว โดยเฉพาะเดือนมกราคมจะเห็นอยู่ตลอดทั้งคืน
กลุ่มดาวปู
( CANCER )
ราศีกรกฎ
  กลุ่มดาวปู เป็นกลุ่มดาวที่ถัดมาจากกลุ่มดาวคนคู่ทางทิศตะวันออก ดวงอาทิตย์จะผ่านกลุ่มดาวปูระหว่างวันที่ 21 กรกฎาคม ถึง 11 สิงหาคม กลุ่มดาวปูประกอบไปด้วยดาวฤกษ์แสงริบหรี่อย่างน้อย 5 ดวงทำให้มองเห็นได้ยาก แต่ในต้นเดือนกุมภาพันธ์จะเห็นได้ตลอดคืน ในกลุ่มดาวปูนี้จะมีฝ้าขาวๆอยู่ เรียกว่า กระจุกดาวรวงผึ้ง ( PRAESEPE ) หรือ ที่คนไทยเรียกว่า กระจุกดาวปุยฝ้าย ซึ่งเป็นกระจุกดาวเปิดประกอบไปด้วยดาวฤกษ์จำนวนมาก และสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
กลุ่มดาวสิงโต
( LEO )
ราศีสิงห์
         กลุ่มดาวสิงโต ประกอบด้วยดาวฤกษ์อย่างน้อย 9 ดวง ดวงอาทิตย์จะเคลื่อนที่ผ่านกลุ่มดาวราศีสิงห์ระหว่างวันที่ 11 สิงหาคม ถึง 17 กันยายน เป็นกลุ่มดาวที่สังเกตได้ง่ายบนฟ้า เพราะมีดาวฤกษ์ดวงใหญ่สีน้ำเงินขาวสว่างที่สุดในกลุ่มดาวนี้ 1 ดวง อยู่ตรงบริเวณหน้าอกของสิงโต เรียกว่า ดาวเรกิวลุส ( REGULUS ) หรือ ดาวหัวใจสิงห์ มีความสว่างถึง 1.35 และ ตรงปลายหางของสิงโตจะมีดาวฤกษ์สว่างสีขาวอีก 1 ดวง เรียกว่า ดาวหางสิงห์ ( DENEBOLA ) มีความสว่าง 2.14 ในวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 นั้น ดวงจันทร์จะปรากฏเต็มดวงบริเวณหัวของสิงโต ที่เรียกว่า มาฆฤกษ์

กลุ่มดาวหญิงสาวพรหมจารี
( VIRGO )
ราศีกันย์

 กลุ่มดาวหญิงสาวพรหมจารี เป็นกลุ่มดาวจักรราศีที่ดวงอาทิตย์จะเคลื่อนที่ผ่านระหว่างวันที่ 17 กันยายน ถึง วันที่ 1 พฤศจิกายน ถือว่าเป็นกลุ่มดาวจักรราศีที่ดวงอาทิตย์ใช้เวลาเคลื่อนที่ผ่านนานที่สุด คือ 46 วัน รองลงมาคือ กลุ่มดาววัว 39 วัน ประกอบด้วยดาวฤกษ์เรียงต่อกันอย่างน้อย 11 ดวง มีกลุ่มดาวที่สว่างมากอยู่ 6 ดวงเรียงกันเป็นรูปตัววาย ดาวฤกษ์ที่สว่างที่สุด คือ ดาวสไปก้า ( SPICA ) เป็นดาวฤกษ์สีขาวเหลือง มีหมายถึง รวงข้าวสาลีที่หญิงสาวถือไว้ในมีซ้าย มีความสว่าง 0.97 และอยู่ใต้เส้นสุริยะวิถีเล็กน้อย เมื่อถึงวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ เดือน 5 ดวงจันทร์จะตรงกับดาวสไปก้าพอดี จึงเรียกว่า จิตรฤกษ์
 
กลุ่มดาวคันชั่ง
( LIBRA )
ราศีตุล
กลุ่มดาวคันชั่ง เป็นกลุ่มดาวที่เป็นสิ่งของกลุ่มดาวเดียวในกลุ่มดาวจักรราศี เป็นกลุ่มดาวซีกฟ้าด้านทิศใต้ อยู่ถัดจากหัวแมงป่องไปทางทิศตะวันตก ประกอบด้วยดาวฤกษ์แสงริบหรี่อย่างน้อย 6 ดวง เรียงกันคล้ายว่าวปักเป้า ดวงอาทิตย์จะผ่านกลุ่มดาวคันชั่ง ระหว่างวันที่ 1 ถึง 21 พฤศจิกายน มองเห็นได้ไม่ชัดเจนบนท้องฟ้า ต้องใช้กลุ่มดาวแมงป่อง หรือ กลุ่มดาวรวงข้าวช่วยในการค้นหา ซึ่งสามารถเห็นกลุ่มดาวคันชั่งได้ตลอดคืนในเดือนพฤษภาคม
                                          

 
กลุ่มดาวแมงป่อง
( SCOPIUS )
ราศีพิจิก
กลุ่มดาวแมงป่อง ปรากฏอยู่ทางตะวันตกของกลุ่มดาวคนยิงธนู เป็นกลุ่มดาวทางซีกฟ้าด้านใต้ ซึ่งดวงอาทิตย์จะโคจรผ่านระหว่างวันที่ 23 ถึง 30 พฤศจิกายน กลุ่มดาวแมงป่องประกอบด้วยดาวฤกษ์อย่างน้อย 15 ดวง โดยดวงที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดเป็นดาวฤกษ์สีแดง ชื่อ แอนทาเรส ( ANTARES ) แปลว่า คู่แข่งของดาวอังคาร เป็นดาวแปรแสงแฝดคู่ขนาดยักษ์ มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 700 เท่าของดวงอาทิตย์ คนไทยเรียกดาวดวงนี้ว่า ดาวปาริชาต

                                              

                                                   กลุ่มดาวคนยิงธนู
( SAGITTARIUS )
ราศีธนู
กลุ่มดาวคนยิงธนู อยู่ถัดจากกลุ่มดาวแมงป่องไปทางทิศตะวันออก ประกอบด้วยดาวฤกษ์เรียงกันอย่างน้อย 8 ดวง คล้ายกับกาต้มน้ำ ไม่มีดาวดวงใดเด่นมากนัก ดวงอาทิตย์จะโคจรผ่านกลุ่มดาวคนยิงธนูระหว่างวันที่ 19 ธันวาคม ถึง 21 มกราคม ซึ่งกลุ่มดาวคนยิงธนูเป็นกลุ่มดาวที่อยู่ใจกลางทางช้างเผือก

กลุ่มดาวมกร หรือ แพะทะเล
( CAPRICORNUS )
ราศีมกร
                                   
       กลุ่มดาวมกร หรือ กลุ่มดาวแพะทะเล เป็นกลุ่มดาวจักรราศีที่อยู่ถัดจากกลุ่มดาวคนยิงธนูไปทางทิศตะวันออก ประกอบด้วยดาวฤกษ์เรียงตัวอย่างน้อย 9 ดวง เป็นรูปสามเหลี่ยมด้านโค้ง มองเห็นได้ไม่ชัดเจน ดวงอาทิตย์จะโคจรผ่านกลุ่มดาวมกรระหว่างวันที่ 21 มกราคม ถึง 16 กุมภาพันธ์ กลุ่มดาวมกรจะอยู่เหนือขอบฟ้า ตั้งแต่ขึ้นถึงลับขอบฟ้านานประมาณ 10 ชั่วโมง


กลุ่มดาวคนแบกหม้อน้ำ
( AQUARIUS )
ราศีกุมภ์
            กลุ่มดาวคนแบกหม้อน้ำ เป็นกลุ่มดาวจักรราศีที่อยู่ทางซีกฟ้าด้านใต้ อยู่ถัดจากกลุ่มดาวมกรไปทางทิศตะวันออก ประกอบไปด้วยดาวฤกษ์แสงริบหรี่อย่างน้อย 13 ดวงมองเห็นได้ไม่ชัดเจนนัก ดวงอาทิตย์จะผ่านกลุ่มดาวนี้ระหว่างวันที่ 16 กุมภาพันธ์ ถึง 13 มีนาคมปรากฏอยู่บนท้องฟ้านานประมาณ 10 ชั่วโมง
    

กลุ่มดาวปลาคู่
( PISCES )
ราศีมีน
      กลุ่มดาวปลาคู่ เป็นกลุ่มดาวที่อยู่ทางเหนือของเส้นศูนย์สูตรฟ้า ปลาตัวหนึ่งอยู่ถัดจากสี่เหลี่ยมของกลุ่มดาวม้ามีปีกไปทางใต้ อีกตัวหนึ่งอยู่ถัดไปทางทิศตะวันออก ประกอบด้วยดาวฤกษ์แสงริบหรี่อย่างน้อย 15 ดวง ดวงที่ 1 ถึง 6 เป็นปลาตัวแรก และ ดวงที่ 14 ถึง 15 เป็นปลาตัวที่ 2 ดวงอาทิตย์จะผ่านกลุ่มดาวนี้ระหว่างวันที่ 13 มีนาคม ถึง 19 เมษายน ดวงอาทิตย์จะอยู่บนเส้นศูนย์สูตรฟ้าในวันที่ 21 มีนาคม ซึ่งอยู่ในกลุ่มดาวปลาคู่ วันนี้จะเป็นวันที่ดวงอาทิตย์ขึ้นตรงจุดตะวันออกพอดี และ ตกตรงจุดตะวันตกพอดี เรียกว่า วันอิควินอกซ์ ( EQUINOX ) ซึ่งกลางวันจะยาวนานเท่ากับกลางคืน กลุ่มดาวปลาคู่จะปรากฏอยู่บนฟ้านานราว 9 ชั่วโมง
กลุ่มดาวแกะ
( ARIES )
ราศี เมษ
           กลุ่มดาวแกะ เป็นกลุ่มดาวทางซีกฟ้าด้านเหนือ อยู่ถัดจากกลุ่มดาวปลาไปทางทิศตะวันออก ดวงอาทิตย์จะผ่านกลุ่มดาวแกะระหว่างวันที่ 19 เมษายน ถึง 14 พฤษภาคม กลุ่มดาวแกะประกอบด้วยดาวฤกษ์ 4 ดวงเป็นอย่างน้อย โดย 3 ดวงแรกเป็นส่วนของหัวแกะ ( Hamal เป็นดาวฤกษ์สีเหลือง มีความสว่าง 2.00 อยู่ห่างจากโลกประมาณ 66 ปีแสง ชื่อดาวหมายถึง Lamp , Sheraton มีความสว่าง 2.64 อยู่ห่างจากโลกประมาณ 60 ปีแสง ชื่อดาว หมายถึง Mark หรือ Sign เนื่องจาก จุด March Equinox หรือ 0 Aries อยู่ใกล้กับดาวดวงนี้มากที่สุด ในช่วง 300-400 ปีก่อนคริสต์ศักราช , Aries มีความสว่าง 4.0 อยู่ห่างจากโลกประมาณ 148 ปีแสง )  และอีก 1 ดวงเป็นสะโพกของแกะ กลุ่มดาวแกะจะขึ้นทางจุดทิศตะวันออกเฉียงไปทางเหนือเล็กน้อยประมาณ 22.5 องศา และจะปรากฏบนท้องฟ้านานวันละ 12 ชั่วโมงกลุ่มดาวแกะ เมื่อครั้งสมัยกรีกโบราณ ( 1000 ปีก่อนคริสต์ศักราช ) เคยเป็นกลุ่มดาวที่ แนวการเคลื่อนที่ของดวงอาทิตย์ ตัดกับแนวเส้นศูนย์สูตรฟ้าพอดี ในฤดูใบไม้ผลิ ( ราววันที่ 21 มีนาคมของทุกปี ) เราเรียกจุดนี้ว่า The March Equinox หรือ 0 Aries หรือปัจจุบันเรียกว่า The Vernal Equinox ในปัจจุบัน จุดดังกล่าวได้ขยับไปอยู่ในกลุ่มดาวปลาคู่ ( Pisces )

                                              


วันเสาร์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ดาวเนปจูน


ดาวเนปจูน   (Neptune)



ดาวเนปจูนเป็นดาวเคราะห์ที่อยู่ไกลจากดวงอาทิตย์ที่สุดตามนิยามดาวเคราะห์ใหม่ที่ไม่จัดดาวพลูโตเป็นดาวเคราะห์ ดาวดวงนี้ถูกค้นพบครั้งแรกด้วยการคำนวณทางคณิตศาสตร์ เนื่องมาจากมีเหตุการณ์ที่วงโคจรของดาวยูเรนัสมีความผิดปรกติ นักวิทยาศาสตร์จึงสงสัยว่า จะต้องมีดาวเคราะห์ขนาดใหญ่ที่มีแรงดึงดูดสูงพอที่จะเปลี่ยนเส้นทางการโคจรของดาวยูเรนัสได้ ผลที่ได้ก็คือ การค้นพบดาวเนปจูนโดยนักคณิตศาสตร์ชาวฝรั่งเศสชื่อ เออร์เบน โจเซฟ ลี เวอเลียร์ (Urbain Joseph Le Verrier) เป็นผู้คำนวณและส่งผลไปไห้นักดาราศาสตร์เยอรมันชื่อ โจฮัน ก็อทฟรีด กาลล์ (Johann Gotfried Galle) เพื่อส่องกล้องหาดาวเคราะห์ตามตำแหน่งที่ได้คำนวณไว้ ซึ่งเขาสามารถพบดาวเนปจูนในคืนแรกของการสำรวจ ดาวเนปจูนมีสีน้ำเงินเข้มซึ่งเกิดจากมีเทนและธาตุอื่นซึ่งยังไม่เป็นที่เข้าใจของนักวิทยาศาสตร์ในปัจจุบัน สนามแม่เหล็กของดาวเนปจูนมีลักษณะแปลกเช่นเดียวกับดาวยูเรนัสคือมีแกนสนามแม่เหล็กเอียงออกมาจากแกนการหมุนรอบตัวเองถึง 47 องศา และมีสภาพสนามแม่เหล็กที่ซับซ้อน ขณะนี้เราค้นพบดาวบริวารของดาวเนปจูนจำนวน 13 ดวง ดาวบริวารที่ใหญ่ที่สุดของดาวเนปจูน คือ  ไทรทัน (Triton) ซึ่งเป็นวัตถุที่เย็นที่สุดเท่าที่เคยพบมาในระบบสุริยะ (อุณหภูมิผิวประมาณ -235 องศาเซลเซียส)

ตารางแสดงข้อมูลที่สำคัญของดาวเนปจูน
ค้นพบโดย โจฮัน ก็อทฟรีด กาลล์ (Johann Gotfried Galle)
ระยะทางโดยเฉลี่ยจากดวงอาทิตย์
4,498,252,900 km
ระยะทางใกล้ที่สุดจากดวงอาทิตย์
4,459,630,000 km
ระยะทางไกลที่สุดจากดวงอาทิตย์
4,536,870,000 km
รัศมีบริเวณเส้นศูนย์สูตร
24,764 km
เส้นรอบวงบริเวณเส้นศูนย์สูตร
155,597 km
ปริมาตร
62,526,000,000,000 km3
มวล
102,440,000,000,000,000,000,000,000 kg
ความหนาแน่นเฉลี่ย
1.76 g/cm3
ค่าความรีของวงโคจร
0.00859
อุณหภูมิยังผล
-214 °C

ดาวเนปจูนหรือดาวเกตุ ( Neptune )
อยู่ห่างไกลมากจึงมองเห็นเพียงเป็นจุดสว่างสีน้ำเงินจาง ๆ สีน้ำเงินของดาวเนปจูนเกิดจากก๊าซมีเทนในบรรยากาศ ซึ่งให้สีน้ำเงิน นอกจากนี้ในบรรยากาศยังมีไฮโดรเจน ฮีเลียม และไอน้ำ 
ใต้บรรยากาศที่หนาทึบและเต็มไปด้วยเมฆ ดาวเนปจูนอาจประกอบด้วยส่วนผสมของหิน น้ำ แอมโมเนียเหลวและมีเทน
 เนปจูน เป็นดาวเคราะห์ลำดับที่ 8 จาก ดวงอาทิตย์และมีขนาดใหญ่เป็นอันดับสี่ (โดยเส้นผ่านศูนย์กลาง) เนปจูนมีเส้นผ่านศูนย์กลางสั้นกว่าดาวยูเรนัส แต่มีมวลมากกว่า
วงโคจร: 4,504,000,000 ก.ม. (30.06 AU) จากดวงอาทิตย์ เส้นผ่านศูนย์กลาง: 49,532 ก.ม. (เส้นศูนย์สูตร) มวล: 1.0247 x 1026 ก. ก. ในปี 1846 ชาวเยอรมันชื่อ Johann Galle ได้พบโลกใหม่ด้วยกล้องโทรทัศน์ขนาดใหญ่ มันอยู่ในตำแหน่งที่นักดาราศาสตร์คนอื่นได้ระบุไว้ก่อนแล้ว ดาวเคราะห์ดวงใหม่มีสีน้ำเงินมีชื่อว่าดาวเนปจูนตามชื่อเทพเจ้าแห่งทะเล เนื่องจากวงโคจรของ ดาวพลูโต เป็นวงรีมาก, บางครั้งมันจะตัดกับวงโคจรของเนปจูน ทำให้เนปจูนเป็นดาวเคราะห์ซึ่งอยู่ใกลที่สุดในบางปี เนปจูน มีองค์ประกอบคล้ายคลึงกับยูเรนัส: หลายรูปแบบของ " น้ำแข็ง" และหิน ไฮโดรเจน 15% และไฮโดรเจนจำนวนเล็กน้อย คล้ายยูเรนัสแต่ไม่เหมือน ดาวพฤหัสบดีและดาวเสาร์, มันไม่มีชั้นภายในที่ชัดเจน มันมีแกนที่เล็ก (มีมวลประมาณเท่าโลก) เป็นวัตถุประเภทหิน บรรยากาศเต็มไปด้วย ไฮโดรเจนและ ฮีเลียม มีมีเทนจำนวนเล็กน้อย
เนปจูน มีสีฟ้า ซี่งเป็นมาจากการดูดกลืนแสงสีแดง โดยมีเทนในชั้นบรรยากาศ เหมือนกับ ดาวเคราะห์แก๊ส โดยทั่วไปเนปจูนมีลมพัดแรงมาก ซึ่งจำกัดตาม แนวละติจูด และพายุหมุนขนาดใหญ่ ลมของเนปจูนพัดแรงที่สุดในระบบสุริยะ มันมีความเร็วถึง 2,000 ก.ม./ชั่วโมง เช่นเดียวกับดาวพฤหัสบดี และดา เสาร์เนปจูนมีแหล่งความร้อนภายใน มันแผ่รังสีมากกว่า เท่า ของที่รับจากดวงอาทิตย์
กลุ่มควันน้ำแข็ง
เนปจูนก็มีวงแหวนเช่นกัน การสำรวจจากกล้องโทรทรรศน์บนพื้นโลกแสดง เพียงอาร์ควงกลม แทนที่จะ เป็นวงแหวนแต่ภาพถ่ายจาก ยานวอยเอเจอร์ แสดงวงแหวนที่สมบูรณ์ และใน บางช่วงจะสว่างเป็นพิเศษ มีวงแหวนวงหนึ่งมีโครงสร้างที่บิดเป็นเกลียวอย่างเห็นได้ชัด (ขวา) เหมือนกับดาวยูเรนัส และ ดาวพฤหัสบดีวงแหวนของเนปจูนมืด และยังไม่ทราบองค์ประกอบ
วงแหวนของดาวเนปจูนมีชื่อเรียกขาน: วงนอกสุดชื่อ อดัมส์ (ซึ่งประกอบด้วยอาร์ควงกลมสะดุดตา 3 อาร์ค ชื่อ ลิเบอร์ตี้, อีควอลิตี้ และฟราเทอนีตี้). วงถัดเข้ามา ไม่มีชื่อ ใช้วงโคจรร่วมกับ ดวงจันทร์กาลาที, วงถัดมาชื่อ เลอเวอร์เรียร์ (ซึ่งมีส่วนต่อออกไปชื่อ ลาสเซล และอราโก) และวงสุดท้าย บางแต่กว้างชื่อ กัลเล สนามแม่เหล็กของดาวเนปจูน มีรูปทรงประหลาดคล้ายของดาวยูเรนัส บางทีมันอาจกำเนิดจาก การเคลื่อนที่ของวัตถุตัวนำ (ซึ่งอาจเป็นน้ำ) ในชั้นกลางของดาว
นักดาราศาสตร์ได้พบดาวบริวารสองดวงที่หมุนรอบดาวเนปจูน ดาวดวงหนึ่งมีขนาดเล็กชื่อว่า Neried ซึ่งมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 300 ไมล์ และหมุนรอบ ห่างจากดาวเนปจูน 3,475,000 ไมล์ ดาวบริวารดวงอื่นๆของดาวเนปจูนคือดาว Triton มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 2,100 ไมล์เป็นดาวบริวารที่ใหญ่เป็นที่สี่ ดาว Triton อาจมีบรรยากาศ มันอาจมีมหาสมุทรมีเธนและไนโตรเจนมันหมุนรอบดาวเนปจูนโดยห่างจากดาวเนปจูนเป็นระยะทาง 220,625 ไมล์ ดาว Triton หมุน รอบดาวเนปจูนในทิศทางตรงกันข้ามจากดาวบริวารส่วนใหญ่ มันยังเคลื่อนไหวเข้าไกล้ดาวเนปจูนในเวลา 10 ล้าน ถึง 100 ล้านปี มันอาจปะทะกับดาวเนปจูน หรือมันอาจแตกออกเป็นชิ้นเล็กๆและก่อตัวเป็นรูปวงแหวนขนาดกว้างล้อมรอบดาวเนปจูน

ข้อมูลดาวเนปจูน
เส้นผ่าศูนย์กลาง     50,000   กิโลเมตร
มวล (โลก = 1)      17.15  เท่าของโลก
ความหนาแน่นเฉลี่ย    1,640  กิโลกรัม/ลูกบาศก์เมตร
คาบการโคจรรอบดวงอาทิตย์  165  ปี
คาบการหมุนรอบตัวเอง   16 ชั่วโมง 
ระยะห่างจากดวงอาทิตย์เฉลี่ย   4,500 ล้านกิโลเมตร

ดาวเนปจูนเป็นดาวเคราะห์ใหญ่เป็นที่ 4 ในระบบสุริยะ จุโลกได้ถึง 60 ดวง โคจรห่างจาก ดวงอาทิตย์เป็นลำดับที่ 8 เป็นดาวเคราะห์ก๊าซที่มีองค์ประกอบคล้ายกับดาวยูเรนัส คือ ไฮโดรเจน และฮีเลียม ผสมกับ แอมโมเนีย มีเทนแข็ง โดยมีใจกลางเป็นแกนหินขนาดเท่าโลก เนื่องจากดาวเนปจูนอยู่ไกลจากโลกมาก จนไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า และต้องใช้ กล้องโทรทรรศน์ขนาดใหญ่เท่านั้นจึงจะเห็นเป็นจุดริบหรี่ได้ สิ่งที่เรารู้เกี่ยวกับดาวเนปจูนทุกวันนี้ จึงเป็นข้อมูลที่ได้จากยานวอยเอเจอร์ 2 ซึ่งเข้าไปสำรวจ ดาวเนปจูนเมื่อปี 
พ.ศ.2532



โครงสร้างของดาวเนปจูน
           ดาวเนปจูนมีขนาดและโครงสร้างที่ใกล้เคียงกับดาวยูเรนัสโดยมีแกนกลางเป็นหินและน้ำแข็ง ซึ่งมีมวลประมาณ 1.2 เท่าของแกนของโลกเรา มีความดันประมาณ 7 ล้านบาร์ ซึ่งมากกว่าความดันบรรยากาศบนพื้นโลกกว่าล้านเท่าและคาดว่ามีอุณหภูมิสูงกว่า 5400 เคลวิน
          ชั้นแมนเทิลของดาวเนปจูนประกอบด้วยน้ำ แอมโมเนีย และมีเทนที่มีอุณหภูมิ 2000 ถึง 5000 เคลวินและมีมวลประมาณ 10 ถึง 15 เท่าของมวลของโลก โดยชั้นของแมนเทิลนี่เองที่สร้างสนามแม่เหล็กรอบๆ ดาวเนปจูน ส่วนชั้นนอกสุดของดาวเนปจูนเป็นชั้นบรรยากาศที่ประกอบไปด้วยแก๊สไฮโดรเจน ฮีเลียม และมีเทนเนื่องจากดาวเนปจูนมีการโคจรรอบตัวเองที่รวดเร็วมากคือประมาณ 16.11 ชั่วโมง จึงทำให้ดาวเนปจูนมีลักษณะโป่งออกที่เส้นศูนย์สูตร โดยมีเส้นผ่านศูนย์กลางบริเวณเส้นศูนย์สูตรมากกว่าเส้นผ่านศูนย์กลางในแนวขั้วเหนือ-ใต้ประมาณ 848 กิโลเมตร





ประวัติการค้นพบ
ในปี พ.ศ.2389 นักดาราศาสตร์ชาวฝรั่งเศส ชื่อ เออร์เบียน เลอ เวอเรียร์ ( Urbain Le Verrier )
คำนวณว่า ต้องมีดาวเคราะห์ดวงหนึ่งรบกวนการโคจรของดาวยูเรนัส จนเมื่อวันที่ 23 กันยายน
พ.ศ.2389 โจฮันน์ จี. กาลเล (Johann G. Galle ) นักดาราศาสตร์ชาวเยอรมันแห่งหอดูดาวเบอร์ลิน ได้ค้นพบดาวเนปจูนในตำแหน่งใกล้เคียงกับผลการคำนวณดังกล่าว



บรรยากาศ
ประกอบด้วย ไฮโดรเจน 80 % ฮีเลียม 19 % และ มีเทน 1% เนื่องจากก๊าซมีเทนในบรรยากาศชั้นบน ดูดซับแสงสีแดงไว้ ทำให้เรามองเห็นดาวเนปจูนมีสีน้ำเงินคล้ายกันกับดาวยูเรนัส

ดาวเนปจูนเป็นโลกแห่งพายุ ภาพถ่ายจากยานวอยเอเจอร์ 2 พบ จุดดำใหญ่ (Great Dark Spot ) เป็นพายุหมุนขนาดใหญ่เท่าโลก อยู่ทางซีกใต้ของดาวเนปจูน ลักษณะคล้าย จุดแดงใหญ่ (Great Red Spot ) บนดาวพฤหัสบดี และจากการสังเกตของกล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิล เมื่อปี พ.ศ.2537 ยังพบจุดดำปรากฏทางซีกเหนือของดาวเนปจูนอีกด้วย นอกจากนั้นทางซีกใต้ยังมี กลุ่มเมฆหมุนวน ขนาดเล็ก สว่าง รูปร่างไม่คงที่ เคลื่อนที่ไปรอบดาวเนปจูน สันนิษฐานว่าอาจ เป็นกระแสอากาศหมุนวน พุ่งจากระดับล่างขึ้นสู่บรรยากาศระดับบน กระแสลมแรงบนดาวเนปจูน วัดความเร็วได้ถึง 2,000 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
สนามแม่เหล็ก
แกนแม่เหล็กของดาวเนปจูนเอียงออกจากแกนหมุนรอบตัวเอง 47 องศา และไม่อยู่ในแนว ศูนย์กลางดวง แต่เคลื่อนห่างออกไป 0.55 ของรัศมีดวง หรือประมาณ 13,500 กิโลเมตร ซึ่งเชื่อว่าลักษณะเช่นนี้มีผลต่อ สนามแม่เหล็กของดาวเนปจูนด้วย

บริวาร
นับจนถึงปี พ.ศ.2544 ค้นพบบริวารของดาวเนปจูนจำนวน 8 ดวง และในปี 2546 ค้นพบบริวารเพิ่มขึ้นอีก 3 ดวง รวมเป็น 11 ดวง มีดวงจันทร์ไทรทันเป็นดวงใหญ่สุด เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2,700 กิโลเมตร นอกนั้นเป็นดวงจันทร์ขนาดเล็ก เส้นผ่า
ศูนย์กลางประมาณ 50- 400 กิโลเมตร เท่านั้น















may

momayyy